วันจันทร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2550

Noël

Noël

Noël est une fête chrétienne célébrant chaque année la naissance de Jésus de Nazareth, appelée Nativité. Cette fête donne lieu à des offices religieux spéciaux et à des échanges de cadeaux et de vœux. Dans l'année 354, Noël a été fixé officiellement au 25 décembre par le pape Libère. Parce que la plupart des Églises orthodoxes suivent toujours le calendrier julien qui présente un décalage de quatorze jours avec le calendrier grégorien désormais en usage officiellement, elles célèbrent Noël le 7 janvier du calendrier grégorien (c’est-à-dire le 25 décembre du calendrier julien). La popularité de la fête a fait que « Noël » est devenu aussi un prénom porté.

วันอาทิตย์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2550

Sports

Le sport le plus pratiqué en France est la pétanque. La pétanque est pratiquée en tant que loisir par environ 17 millions de personnes en France. Tandis que celle pratiquée en tant que compétition concerne environ 480 000 personnes licenciées à la Fédération française de pétanque et de jeu provençal (FFPJP). La FFPJP est la 4e fédération sportive en France. Les boulistes licenciés jouent une pétanque de compétition qui est appelée pétanque sport.
Les sports les plus regardés en France sont le
football, le basket-ball, le rugby à XV (rugby), le sport cyclisme, et le tennis. La France a accueilli la Coupe du monde de football en 1998, qui fut d'ailleurs remportée par sa propre équipe. Elle organise annuellement la course de cyclisme du Tour de France, un tournoi du Grand Chelem de tennis les Internationaux de Roland Garros. La pratique du sport est encouragée à l'école, et les associations locales reçoivent des subventions municipales. Si le football reste incontestablement le plus populaire (et donc le plus médiatisé), le rugby le surpasse dans le Sud-Ouest, et plus particulièrement autour de la ville de Toulouse. Le handball et le volley sont eux privilégiés dans les milieux scolaires.
Le
Babyfoot (football de table) est un passe-temps très populaire en France à la fois dans les bars et à la maison.


+++++++++++++++++++

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2550

คำศัพท์ [Vocabulaire]

คำศัพท์ [Vocabulaire]

- n' importe quoi = [อะไรๆก็ไม่สำคัญ] อะไรๆก็ได้, : Elle dit n'importe quoi ! (หล่อนพูดอะไรเรื่อยเปื่อย) / n' importe qui = ใครๆก็ตาม : N'importe qui peut en faire autant. (ใครๆก็ทำได้เหมือนกัน) / n' importe où = ที่ไหนๆก็ได้ : Ne pose pas tes affaires n'importe où. (อย่าเอาข้าวของของเธอไปวางไว้ส่งเดช) / n' importe comment = [อย่างไรๆก็ได้] ชุ่ยๆ : Ce travail a été fait n'importe comment. (งานนี้ถูกทำอย่างชุ่ยๆ) / n' importe quand = เมื่อไหร่ๆก็ได้ : Tu peux venir chez moi n' importe quand. Ma maison est toujours ouverte pour toi. (เธอจะมาบ้านฉันเมื่อไหร่ก็ได้ บ้านฉันเปิดเสมอสำหรับเธอ)

- vivre (v.) = มีชีวิต, ดำรงชีวิต, อาศัยอยู่ : On vit plus longtemps grâce à la médecine. (เรามีชีวิตยืนยาวขึ้นเนื่องจากการแพทย์) / vie (n.f.) = ชีวิต, : Profitez bien de la vie. (จงใช้ชีวิตให้คุ้มค่า) / vivant (adj.) = ที่ยังมีชีวิตอยู่ : Mon père est mort mais ma mère est encore vivante. (พ่อของฉันตายแล้ว แต่แม่ของฉันยังมีชีวิตอยู่)

- ne ........nulle part (adv.) = ไม่......ที่ใดเลย

- mentir (v.) = โกหก, พูดปด / mensonge (n.m.) = คำเท็จ, คำโกหก / menteur, menteuse (adj. et n.) = คนโกหก, ที่โกหก
- être capable (de) (adj.) = สามารถ # être incapable (de) = ไม่สามารถที่จะ


วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2550

Je และ J' (บุรุษที่ 1 เอกพจน์) ใช้แทน ผู้พูด [ใช้รูป J' เมื่อคำกริยาที่ผันขึ้นต้นด้วย สระ หรือ h(ใบ้)]
- Je suis élève à l' école Rachinie Bourana. (ฉันเป็นนักเรียนอยู่ที่โรงเรียนราชินีบูรณะ)
- J' habite à Nakhonpathom. (ฉันอาศัยอยู่ที่นครปฐม)

* Tu (บุรุษที่ 2 เอกพจน์) ใช้แทน ผู้ที่เราพูดด้วย (ใช้กับเพื่อนๆ คนในครอบครัว และคนที่สนิทสนมกัน)
- Tu es prête, maman ? (พร้อมแล้วหรือยังคุณแม่)

* Il (บุรุษที่ 3 เอกพจน์) ใช้แทน บุคคล หรือ สัตว์ หรือ สิ่งของ (เพศชาย) ที่เราพูดถึง
- C' est mon père. Il est très gentil. (นี่คือพ่อของฉัน เขาใจดีมาก)
- C' est mon chien. Il s' appelle Toutou. (นี่คือสุนัขของฉัน มันชื่อตูตู้)

* Elle (บุรุษที่ 3 เอกพจน์) ใช้แทน บุคคล หรือ สัตว์ หรือ สิ่งของ (เพศหญิง) ที่เราพูดถึง
- C' est ma mère. Elle est très belle et très gentille. (นี่คือแม่ของฉัน คุณแม่สวยมากและใจดีมาก)
- C' est ma maison. Elle est grande. (นี่คือบ้านของฉัน มันหลังใหญ่)

* On (บุรุษที่ 3)(ความหมายเป็นพหูพจน์ แต่ผันกับ verbe ในรูปบุรุษที่ 3 เอกพจน์) ใช้แทนผู้คนในความหมาย "ทุกคน"
(Tout le monde) "ผู้คน" (Les gens) / * * (ในภาษาที่ใช้กันแพร่หลาย) On มีความหมาย = "เรา" หรือ "พวกเรา"
- En France, on mange beaucoup de pain. (ในประเทศฝรั่งเศสผู้คนบริโภคขนมปังกันมาก)
- Qu' est-ce qu'on fait aujourd'hui ? = Qu' est-ce que nous faisons aujourd'hui ? (วันนี้เราทำอะไรกันดี)

* Nous (บุรุษที่ 1 พหูพจน์) ใช้แทนกลุ่มบุคคลที่มีผู้พูดรวมอยู่ด้วย
- Nous apprenons le français. (พวกเราเรียนภาษาฝรั่งศส)

* Vous (บุรุษที่ 2 เอกพจน์ และ พหูพจน์) ใช้แทน ผู้ที่เราพูดด้วย (คนเดียว หรือ กลุ่มบุคคลที่เราพูดด้วย ซึ่งอาจเป็น
บุคคลที่เราไม่รู้จัก หรือ บุคคลที่เรารู้จัก เพื่อแสดงความเคารพหรือความสุภาพ) / * *นอกจากนี้เรายังใช้ "Vous" แทน "Tu"
เมื่อพูดกับ "Tu" หลายคน = พวกเธอ, พวกเจ้า
- Vous parlez français ? (คุณพูดภาษาฝรั่งเศสหรือเปล่า)
- Ta soeur et toi, vous étudiez dans la même école ?(เธอกับน้องสาว พวกเธอเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันหรือเปล่า)

* Ils (บุรุษที่ 3 พหูพจน์) ใช้แทน บุคคล หรือ สัตว์ หรือ สิ่งของ (เพศชาย) ที่เราพูดถึง
- Je connais Monsieur et Madame Merle depuis longtemps. Ils viennent en Thaïlande tous les ans. (ฉันรู้จักนายและนางแมร์ลมานานแล้ว พวกเขามาประเทศไทยทุกปี)
- Ce sont tes livres ? Ils sont très beaux. (เหล่านี้คือหนังสือของเธอใช่ไหม มันสวยมาก)

* Elles (บุรุษที่ 3 พหูพจน์) ใช้แทน บุคคล หรือ สัตว์ หรือ สิ่งของ (เพศหญิง) ที่เราพูดถึง
- Paul regarde ces jeunes filles. Elles sont belles et gaies. (ปอลมองหญิงสาวเหล่านี้ พวกหล่อนสวยและร่าเริง)
- J' aime ces fleurs. Elles sentent très bon. (ฉันชอบดอกไม้เหล่านี้ มันหอมมาก)

นอกจากนี้ "Il" ยังใช้ในรูป "impersonnel" คือไม่ได้แทนบุคคล หรือสิ่งของ (เราไม่ต้องหาว่า "Il" แทนบุคคลหรือสิ่งของใด)
- Il pleut. = ฝนตก
- Il faut faire attention! = ต้องระวัง
- Il y a des gens qui sont optimistes et il y a des gens qui sont pessimistes. = มีคนที่มองโลกในแง่ดี และ
มีคนที่มองโลกในแง่ร้าย

วันพุธที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2550

Le petit déjeuner [เลอ เปอ-ติ เด-เชอ-เน] (n.m.) [le matin] : อาหารเช้า

โดยทั่วไปแล้ว ชาวฝรั่งเศสจะรับประทาน tartine (n.f) คือ ขนมปังทาเนย [pain beurré] (n.m.) กับแยม
[confiture] (n.f.) หรือ นํ้าผึ้ง [miel] (n.m.) สำหรับเครื่องดื่ม จะดื่ม เครื่องดื่มร้อนๆ [boisson chaude] (n.f.) เช่น กาแฟ [café] (n.m.), ชา [thé] (n.m.), นม [lait] (n.m.) หรือ ช๊อกโกแลตร้อนๆ [chocolat chaud] (n.m.) ซึ่งจะดื่มในชาม [bol] (n.m.) หรือถ้วย [tasse] (n.f.) บางคนก็จะรับประทานธัญญาพืช [céréals] (n.f. pl.), ไข่ลวก [oeuf à la coque] (n.m.) และดื่มนํ้าผลไม้สดๆ [jus de fruits] (n.m) ส่วน ครัวซอง [croissant] (n.m.) ชาวฝรั่งเศสจะไปรับประทานที่ร้านกาแฟ [bistrot] (n.m.) หรือที่บ้านในโอกาสสำคัญเช่นวันอาทิตย์

Le déjeuner [เลอ เด-เชอ-เน] (n.m.) [entre 12 h et 14 h] : อาหารกลางวัน
โดยทั่วไปแล้ว อาหารมื้อกลางวันจะประกอบไปด้วย อาหารจานแรกหรืออาหารเรียกนํ้าย่อย [entrée] (n.f.) อาหารจานหลัก [plat] (n.m.) ที่เป็นเนื้อ [viande] (n.f.) หรือ ปลา [poisson] (n.m.) เคียงกับผัก [légume] (n.m.) ตามด้วยเนยแข็ง [fromage] (n.m.) หรือ ของหวาน [dessert] (n.m.) ซึ่งอาจจะเป็นผลไม้ หรือ โยเกิร์ต [yaourt] (n.m.) ก็ได้

Le goûter [เลอ กู๊ต-เต] (n.m.) [vers 16 h] : อาหารว่าง (ระหว่างมื้อกลางวันกับมื้อคํ่า)
เป็นอาหารมื้อเล็กๆสำหรับเด็กๆหลังเลิกเรียน (เพราะชาวฝรั่งเศสเริ่มรับประทานอาหารคํ่าค่อนข้างดึก ตั้งแต่ 19.30 ถึง 20.30) อาหารว่างนี้จะคล้ายกับอาหารเช้ามาก บ่อยๆแม่บ้านมักจะเตรียมขนมปังช๊อกโกแลต [pain au chocolat] (n.m.) หรือ ขนมปังก้อนนุ่มๆ [brioche] (n.f.) หรือไม่ก็ ขนมปังทาเนยและแยม [tartine] โดยอาจจะมีเครื่องดื่มร้อนๆเช่นช๊อกโกแลตร้อนๆด้วยก็ได้

วันอังคารที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2550

LE TEMPS QU'IL FAIT [สภาพอากาศ] :

Il fait beau (temps) .
อากาศดี(ท้องฟ้าแจ่มใส)
Il fait bon / doux.
อากาศดี(ไม่ร้อนไม่หนาว) / อากาศอุ่น
Il fait froid.
อากาศหนาว
Il fait - 5°.
อุณหภูมิลบ 5 องศา
Il fait un froid de canard.
(หนาวแบบเป็ด) = อากาศหนาวมาก
Il fait frais.
อากาศเย็น
Il fait mauvais.
อากาศไม่ดี
Il fait sec.
อากาศแห้ง
Il fait lourd / humide / orageux.
อากาศหนัก(อบอ้าว) / ชื้น / ครึ้มฟ้าครึ้มฝน
Il fait chaud / Il fait une chaleur insupportable / une chaleur torride / "Quelle canicule !"
อากาศร้อน / อากาศร้อนแทบทนไม่ไหว / ร้อนสุดๆ
Il fait (du) soleil. / Il fait un soleil radieux.
มีแดด, แดดออก / แดดจ้า
Il fait un temps splendide / un temps magnifique.
อากาศแจ่มใสดีมาก
Il fait un temps affreux / un temps épouvantable.
อากาศไม่ดี, อากาศเลวร้าย
Il fait gris / Il fait sombre.
ท้องฟ้ามืดครึ้ม / อากาศครึ้ม
Il fait un temps pluvieux.
อากาศครึ้มฟ้าครึ้มฝน
Le temps est clair.
ท้องฟ้าสว่าง
Le temps est au beau fixe.
อากาศดีทั้งวัน
Le temps est changeant / incertain.
อากาศแปรปรวน
Le temps s'améliore.
อากาศดีขึ้น
Le temps se dégrade.
อากาศแย่ลง
La journée est pluvieuse / orageuse.
เป็นวันที่ครึ้มฟ้าครื้มฝน / ฝนฟ้าคะนอง
La journée est ensoleillée.
เป็นวันที่มีแดดดี
C'est une belle journée.
เป็นวันที่อากาศแจ่มใส
Il y a du soleil.
มีแดด, แดดออก
Il y a du vent.
มีลม, ลมพัด
Il y a du brouillard. / Il y a un brouillard épais.
มีหมอก, หมอกหนา, หมอกจัด
Il y a de la brume.
มีหมอกบางๆ
Il y a de la pluie.
มีฝน, ฝนตก
Il y a du de la neige.
มีหิมะ, หิมะตก
Il y a des nuages.
มีเมฆมาก
Il y a du verglas.
มีแผ่นนํ้าแข็ง(ที่มองไม่เห็น)บนผิวถนน
Il y a du givre.
มีนํ้าค้างแข็งจับที่กระจกหรือบนใบไม้
Il y a un orage.
มีพายุฝนฟ้าคะนอง
Il y a une tempête.
มีพายุ
Il y a une éclaircie. / Ça s'éclaircit.
มีแดดออกสลับหลังฝนตก
Il neige. / Il tombe de la neige.
หิมะตก
La neige tombe à gros flocons.
หิมะตกเป็นปุย(ก้อน)โตๆ
La neige fond. / Ça fond.
หิมะละลาย
Il gèle.
นํ้าเป็นนํ้าแข็ง
Il pleut. / Il tombe de la pluie.
ฝนตก

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2550

Baby sexygirl

===> หอไอเฟลสัญลักษณ์แห่งเมืองปารีส <===

ตลอดหลายยุคสมัย ผู้คนได้ท้ายทายข้อจำกัดทางสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม เพื่อความพยายามที่จะได้ใกล้คิดกับพระเจ้ามากขึ้น มีบางกลุ่มพยายามหาประโยชน์ใช้สอยจากหอคอยในการทำเสาอากาศ ภัตตาคาร แต่สิ่งดึงดูดใจที่แท้จริงกลับมาจากความคิดที่บริสุทธิ์มากกว่านั้น
หอคอยเป็นสิ่งที่แสดงถึงความทะเยอทยานของมนุษย์ และหอคอยที่โลกรักมากที่สุดคือ หอไอเฟล (Eiffel Tower) ณ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เป็นหอคอยที่มีความสูงเสียดฟ้า มีความงามสง่า รูปร่างอ่อนช้อย ซึ่งสะท้อนให้เห็นจิตวิญญาณของฝรั่งเศส หอไอเฟลได้รับการออกแบบและก่อสร้างในปี ค.ศ.1839 มันคือผลงานชิ้นเอกในการ -ฉลองการปฏิวัติฝรั่งเศสอันนองเลือดเมื่อ 100 ปีก่อนหน้า
14 กรกฎาคม ค.ศ.1789 ท่ามกลางความต้องการที่จะปฏิวัติ ชาวปารีสได้เข้าโจมตีชนชั้นสูง บุกยึกคุกบัสติล ซึ่งมีผู้มีความคิดขัดแยงทางการเมืองถูกคุมขังเอาไว้ ผู้รัก-ชาติได้รวมตัวกันเพื่อต่อต้านชนชั้นปกครอง ซึ่งเป็นการสร้างพื้นฐานสำหรับการเคลื่อนไหวประชาธิปไตยยุคใหม่
อีก 1 ศตวรรษหลังการปฏิวัติ ความภาคภูมิใจของฝรั่งเศสถูกบั่นทอนด้วย ความพ่ายแพ้ของกองทัพต่อเยอรมัน ในปี 1870 และก็ ความคิดที่จะจัดงานแสดงสินค้านานาชาติ จึงเป็นหนทางอันยิ่งใหญ่เพื่อลืมความปวดร้าว และ เพื่อแสดงความยิ่งใหญ่ ความร่ำรวยของประเทศ จึงจำเป็นที่ต้องมีผลงานศิลปะชิ้นเอกที่อวดแก่ฝูงชน และจากความสำเร็จในยุคอุตสาหกรรมจึงนำเสนอความสำเร็จทางวิศวกรรม นั่นคือ หอคอย
หอคอยเหมือนเป็นสิ่งที่ชาญฉลาดทางเทคโนโลยี ในอดีตไม่เคยมีใครสร้างหอคอยที่สูงกว่า 1,000 ฟุต หลายคนพยายามลอง แม้กระทั่งในสหรัฐอเมริกาก็มีการออกแบบไว้อยู่หลายแบบ แต่ก็ไม่เคยสร้างจริงขึ้นมา ฝรั่งเศสได้จัดการประกวดเพื่อออกแบบหอคอย แบบแรกถูกเสนอโดย เวอร์ริส คล็อกลิน ซึ่งเป็นหนึ่งในคณะวิศวกรของ กุสตาฟ ไอ-เฟล (Gustave Eiffel)
กุสตาฟ ไอเฟล เป็นทั้งสถาปนิกและวิศวกรชั้นนำของฝรั่งเศส ชื่อเสียงของเขาเกิดจาก การออกแบบสะพานที่เต็มไปด้วยจินตนาการ เขาค้นคว้าเกี่ยวกับแนวคิดในการออกแบบด้วยโครงสร้างโลหะ การที่มี กุสตาฟ ไอเฟล เข้ามาร่วมงาน จึงเป็นเครื่องรับประกันในเรื่องเงินทุนสนับสนุน และความสำเร็จของงาน วิศวกรหนุ่มของ กุสตาฟ ไอเฟล 2 คน คือ เวอร์ริส คล็อกลิน และ เอมิล นูลจิเย เริ่มแนวคิดในการสร้างหอคอยสูง 300 เมตร สำหรับงานแสดงสินค้าในปี ค.ศ.1890 ในปารีสเขาเริ่มร่างแบบโครงสร้างของหอ-คอยอย่างคร่าวๆ และขอให้สถาปนิกชื่อ สตีเฟน สเตาว์เธอร์ ออกแบบส่วนตกแต่งเพื่อเติม ซึ่งมีลักษณะเป็นช่อดอกไม้ โค้ง และมีปติมากรรมเล็กๆ น้อยๆ โดยมีแรงบันดาลใจมาจากแนวคิดทางสถาปัตยกรรมฝรั่งเศส ในปี ค.ศ.1887 ว่า สามารถสัมผัสกับท้องฟ้าในระดับที่เป็นไปไม่ได้ คือ 1,000 ฟุต
กุสตาฟ ไอเฟล ได้เห็นแบบแปลนและอนุมัติ เขาได้สนใจแนวคิดเกี่ยวกับหอคอยนี้ และได้ออกแบบส่วนตกแต่งเพิ่มเติมที่เกี่ยวข้องกับตัวเขาเข้าไปด้วย การมีชื่อ กุสตาฟ ไอเฟล อยู่ในโครงการ ทุกคนรู้ผลลัพธ์ของการแข่งขันนี้ การมีสายสัมพันธ์ทางการเมืองและสังคมของกุสตาฟ ไอเฟล ทำให้มีความพร้อมที่จะผลักดันให้โครงการผ่านหน่วยงานปกครองของปารีสได้อย่างรวดเร็ว และทำให้โครงการจากแบบแปลนสำเร็จเป็นจริงได้ หอคอยซึ่งออกแบบจากความก้าวหน้าในยุคอุตสาหกรรม เป็น งานที่มีความท้าทายทางวิศวกรรม และ กุสตาฟ ไอเฟล จะได้แสดงให้เห็นถึงความความคิดสร้างสรรค์ของเขาที่เคยใช้ในการออกแบบมาแล้ว
28 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1887 กุสตาฟ ไอเฟล ได้เชิญแขกมากมายมาเป็นพยานในการก่อสร้าง เขาอายุ 53 ปี และหอคอยจะเป็นความสำเร็จที่สมบูรณ์แบบของเขา ในขณะที่พิธีการเริ่มขึ้น วิศวกร 50 คนต้องช่วยกันร่างแบบ จำนวน 5,300 แผ่นสำหรับคนงาน 132 คน ใช้ในพื้นที่ก่อสร้าง ต้องใช้เวลา 4 เดือน ในการทำฐานรากสำหรับขาของหอ-คอย เสา 2 ต้น ถูกติดตั้งบนฐานคอนกรีตหนา 6 ฟุตครึ่ง ที่ความลึก 23 ฟุตจากระดับดิน และมีขา 2 ข้างที่ใกล้กับแม่น้ำแซนมาก จึงต้องใช้เขื่อนโลหะกันน้ำ ป้องกันในขณะที่ทำการเทคอนกรีตบนพื้นที่อยู่ต่ำกว่าระดับน้ำ
หมุด 2 ล้าน 5 แสนตัว ที่ใช้ยึดโครงเหล็กของหอไอเฟล
บนพื้นที่สี่เหลี่ยมจตุรัสของฐานหอคอยมีความกว้างด้านละ 426 ฟุต จะมีขาของหอคอยทั้ง 4 ในแต่ละด้าน รองรับน้ำหนักของโครงสร้างโลหะกว่า 7,000 ตัน บนฐานจะเป็นฐานก่ออิฐซึ่งจะฝังสมอยึด 2 ตัวสำหรับขาแต่ละข้าง จากฐานนี้ ขาจะถูกขึ้นเป็นมุม 60 องศาในลักษณะคานโครงเหล็ก คานนี้ประกอบไปด้วยท่อนเหล็กและเหล็กแผ่นที่ถูกยึดติดกันที่ด้านข้าง โครงสร้างที่ได้จะมีความเข็งแรงมาก แต่มีนำหนักเบา ประกอบง่าย ใช้มาตรฐานเดียวกัน และ มีราคาไม่แพง เมื่อประกอบเสร็จจะใช้ชิ้นส่วนโลหะทั้งหมด 18,000 ชิ้น และหมุดยึดอีก 2 ล้าน 5 แสน ตัว เพื่อประกอบเป็นหอคอย ทั้งหมดใช้เพียงเหล็กท่อนแบนและแผ่นเหล็กในการประกอบ
ขั้นตอนแรกของการก่อสร้าง ขาทั้ง 4 ต้นจะถูกสร้างขึ้นพร้อมๆกันและจะบรรจบกันที่ชั้นแรกของหอคอย ด้วยมุมที่มีความลาดชั้น จึงต้องติดตั้งคำยันที่ขาทั้ง 4 ต้น และติดตั้งคำยันตรงกลางของฐานหอคอยเพื่อรองรับคานในแนวศูนย์กลางที่จะยึดโครงสร้างต่างๆ เอาไว้ ที่ขาแต่ละข้างมีแม่แรงไฮโดรลิกที่สามารถปรับระดับความสูงได้อย่าง -อิสระ และ เพื่อให้ได้ความแม่นยำตามที่ต้องการ เมื่อขั้นตอนเหล่านี้เสร็จสิ้น กุสตาฟ ไอเฟล รู้ว่าไม่มีอะไรหยุดยั้งการบรรลุความฝันของเขาได้ หลายคนก็กลัวว่าหอคอยจะทำ-ลายทัศนียภาพของกรุงปารีส กลุ่มศิลปินหลายคนกล่าวโจมตีว่าเป็นการเอาเปรียบของยุคอุตสาหกรรม และเป็นโคมไฟที่น่าสมเพศที่ผลุดขึ้นมาจากปารีส กุสตาฟ ไอเฟล ได้โต้ตอบกลับอย่างรุนแรงว่า นี่คือสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดที่มนุษย์เคยสร้าง มันจะไม่มีความสง่างามในตัวของมันเองเลยหรือไร





วันที่ 2 เมษายน ค.ศ.1888 หอคอยขึ้นสู่ยอดฟ้าของกรุงปารีส เหมือนได้นำเอาจิตวิญญาณของฝรั่งเศสขึ้นไปด้วย ผู้คนชื่นชอบมัน จากการออกแบบโครงร่างอย่างคร่าวๆ บัดนี้ได้แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์อันลื่นไหล ความอ่อนช้อยของโครงสร้าง ส่วนโค้ง แนวประดับต่างๆ ทำให้มีความรู้สึกที่ตรงข้ามกับแนวหมุดที่ยึดเปลือย และหยาบกระด้าง นี่เป็นงานศิลปะที่จะบอกให้โลกรับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่
กุสตาฟ ไอเฟล เป็นคนแรกที่เดินขึ้นบันได 1,710 ขั้น เพื่อขึ้นไปที่จุดสูงสุดของหอคอย แล้วแขวนธงชาติ 3 สีของฝรั่งเศส มีการเปิดงานแสดงสินค้าในปี ค.ศ.1889 ในกรุงปารีส งานชิ้นเอก คือหอคอยที่สูงกว่า 300 เมตรที่งดงาม และในที่สุดมันจะเป็นที่รู้จักในนาม หอไอเฟล
ตอนแรกหอคอยถูกเรียกว่า หอคอยแห่ง 320 เมตร , หอคอย 320 เมตร ต่อมามันก็กลายเป็น หอไอเฟล หอไอเฟลถูกวางในพื้นที่ราบเรียบของปารีส และก็ ทำรายได้มหาศาลให้กับ กุสตาฟ ไอเฟล เนื่องจากความมั่นใจถึงความสำเร็จของเขา กุสตาฟ ไอเฟล ได้ออกเงินในการก่อสร้างกว่า 80% และทำสัญญาเป็นผู้ดูแลหอนี้เป็นเวลา 20 ปี กุสตาฟ ไอเฟล มีห้องพักอยู่บนหอคอย ที่ซึ่งเขาทำการทดลองทางวิทยาศาสตร์ และพบปะแขกคนสำคัญ ในปีแรก นักท่องเที่ยวกว่า 2 ล้านคน เดินทางขึ้นลิฟท์เพื่อชมทัศนียภาพของปารีสบนยอดหอคอย ก่อให้เกิดรายได้กว่า 1 ล้านดอลลาร์
กุสตาฟ ไอเฟล มีรายได้มาจากหอไอเฟลมาก เขาอาจเป็นวีรบุรุษของฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1889 แต่อีก 1 ปี หลังจากนั้นเขาถูกตัดสินให้มีความผิด ในการหากำไรกับความล้มเหลวของฝรั่งเศสในการก่อสร้างคลองปานามา โครงการนี้เป็นความฝันของวิศวกรชาวฝรั่งเศสชื่อ เฟอร์ดินาน เดอ เลเซต ซึ่งประสบความสำเร็จในการสร้างคลองสุเอด และตั้งใจจะทำเช่นนี้อีกในปานามา เดอ เลเซต ได้เชิญ ไอเฟล มาให้คำแนะนำในทางวิศวกรรมในการสร้างทางน้ำผ่านป่าทึบ ไอเฟล ได้เสนอแนวคิดระบบปิดกันน้ำแบบใหม่ แต่ เดอ เลเซต ไม่เห็นด้วย ผลที่ตามมาคือหายนะ การขุดคลอดไม่สามารถทำผ่านป่าทึบได้ รัฐบาลฝรั่งเศสแทบล้มลาย ผลกระทบทางการเมืองรุนแรงมาก ผู้ที่เกี่ยวข้องถูกประนาม- และ ไอเฟลก็ถูกตัดสินจำคุก 24 เดือน ซึ่งภายหลังถูกยกเลิก แต่บัดนี้ ไอเฟล ก็หมดความปรารถนาในการก่อสร้าง และไม่ได้สร้างอะไรอีกเลย
ขณะนั้น ไอเฟล มีอายุ 73 ปี และได้อุทิศตนให้กับงานด้านวิทยาศาสตร์ โดยให้ความสำคัญกับการค้นคว้าเกี่ยวกับ อากาศพลศาสตร์ และ ได้สร้างห้องทดลองของตนขึ้นและ ยังคงเปิดทำการจนถึงทุกวันนี้ กุสตาฟ ไอเฟล ทดสอบแรงต้านทานของลมเป็นครั้งแรก เพราะตลอดเวลาการทำงานที่ผ่านมาของเขา ลมคือศัตรูหมายหนึ่ง ในช่วง ค.ศ.1906-1909 ไอเฟล ตั้งคำถามมากมายเกี่ยวกับอากาศพลศาสตร์ และได้สร้างอุโมงค์ลมขึ้นเป็นแห่งแรก และเป็นจุดกำเนิดของการศึกษาด้านการบินของฝรั่งเศส
กุสตาฟ ไอเฟล เป็นวิศวกรที่ยอดเยี่ยมและเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ในการสร้างหอคอยสูง 300 เมตร ในตอนแรกมีความตั้งใจว่าหอคอยนี้ จะมีอายุการใช้งานเพียง 20 ปี เขาเริ่มคุ้นเคยกับสถานะภาพชั้นสูงของปารีส และต่อมาเขาพยายามอย่างมากในการรักษาหอคอยเอาไว้ วิทยุเป็นสิ่งที่รักษาหอคอยเอาไว้ เนื่องจากความสูงของมัน สัญญาณวิทยุสา -มารถส่งไปถึงอเมริกาเหนือได้ ถึงแม้ต่อมาก็มีคำสั่งให้รื้อทิ้งในปี ค.ศ.1909 แต่หอไอเฟลก็รอดพ้นมาได้ โดย ช่วยเป็นเสาวิทยุให้ฝรั่งเศสติดตามสงคราม ที่กำลังก่อตัวขึ้นในเยอรมนี
ในปี ค.ศ.1914 สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เริ่มขึ้น ผลกระทบแผ่ขยายไปทั่วยุโรป สำหรับปารีสนั้น ความขัดแย้งอยู่ใกล้มาก จนทหารต้องนั่งแท็กซี่ไปยังแนวหน้า แต่ด้วย -ความช่วยเหลือของหอไอเฟลนั้น ก็ช่วยให้บรรดา นายพลทำการดักฟังฝ่ายศัตรูและแจ้งเตือนภัยจากเรือเหาะได้
ในปี ค.ศ.1923 หลังจากสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้ 5 ปี กุสตาฟ ไอเฟล ได้เสียชีวิตลง ตลอดอายุ 91 ปี วิสัยทัศน์ของเขาได้ผลักดันให้ฝรั่งเศสอยู่ในแถวหน้าของ -เทคโนโลยี การออกแบบและโครงสร้างของเขาเป็นบทนำสู่พื้นฐานสู่ศตวรรษที่ 20 หอไอเฟลยังคงยืนหยัดมาได้ เป็นหอที่เกิดจากการถักทอของโลหะ และ อากาศภายใน เกิดความรู้สึกที่ว่างเปล่า ความแข็งแกร่งของหอคอย เหมือนเป็นโซ่ที่เชื่อมระหว่างศตวรรษที่ 19 และ 20 เข้าไว้ด้วยกัน รอยต่อซึ่งจะถูกทำลายอย่างเหี้ยมโหดด้วยลัทธิชาตินิยม การเหยียดเผ่าพันธุ์ ประทุออกจากความพ่ายแพ้ของเยอรมันหลังสงครามโลกครั้งที่ 1
พฤษภาคม ค.ศ.1940 ท่ามกลางการโจมตีอย่างสายฟ้าแลบของกองทัพนาซี ปารีสและหอไอเฟลถูกตกเป็นเชลย แต่กองทัพเยอรมันพบอุปสรรค์ในการใช้ประโยชน์จากหอไอเฟล เนื่องจากชาวฝรั่งเศสทำลิฟท์เสียหาย ทำให้ฮิตเลอร์ไม่สามารถขึ้นไปบนหอคอยได้
ชาวปารีสมีความโกรธแค้นต่อนาซีมาก กลุ่มปลดปล่อยฝรั่งเศสได้วางแผนกันอย่างลับๆ ในสุสานใต้ดินของชาวโรมันใต้ท้องถนนของกรุงปารีส ที่เป็นอุโมงค์ที่เชื่อมไปทั่วปารีส ทำให้การเดินทางไปที่ต่างๆ ไม่สามารถตรวจพบได้ กลุ่มต่อต้านได้ช่วยทำให้รถไฟขนส่งทหารตกรางซึ่งวิ่งอ้อมกรุงปารีสอยู่ ฮิตเลอร์นั้นมีความรู้สึกเกลียดชังกลุ่มปลดปล่อยนี้มาก ขณะที่สงครามยุติ เขาได้ออกคำสั่งให้ระเบิดหอคอยนี้ทิ้ง แต่นายพล ฟรอน โทริส ผู้ซึ่งตกหลุมรักกรุงปารีสได้ยกเลิกคำสั่งนี้โดยพลการ
การยกพลขึ้นบกในวัน D-Day ที่ชายฝั่งฝรั่งเศสของเหล่ากองกำลังฝ่ายสัมพันธมิตรเพื่อการปลดปล่อยฝรั่งเศส และกองทัพรถถังอเมริกัน ก็ได้ขับไล่พวกนาซีออกจากหอไอเฟล รัฐบาลฝรั่งเศสอยู่ในช่วงล่มลาย ในปี ค.ศ.1945-1960 ผู้คนชาวฝรั่งเศสออกเสียงเลือกตั้งคณะรัฐบาลที่แตกต่างกันถึง 20 คณะ มันเป็นความยุ่งเหยิงทางการเมือง -จนกระทั่ง นายพลเดอกอล ถูกเชิญชวนให้เป็นผู้นำประเทศภายหลังสงคราม บุคคลที่เข็มแข็งและมีความดึงดูดเท่านั้นที่จะรวบรวมประเทศ และคืนจิตวิญญาณให้กับฝรั่งเศสได้อีกครั้งหนึ่ง จิตวิญญาณของประเทศ ได้รับการปกป้องเสมอมา ภายในกรงเหล็กของหอไอเฟล หอไอเฟลต้องการการดูแลรักษา หากต้องการให้มันยังคงอยู่ต่อไป
มันถูกออกแบบให้เป็นผลงานชิ้นเอกในงานแสดงสินค้านานาชาติในปี ค.ศ.1889 บัดนี้นับกว่า 1 ศตวรรษการฉลองยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่ผู้คนมากกว่า 1 พันคนได้มาเยี่ยมชมหอไอเฟลทุกๆ ชั่วโมง โดยมีลิฟท์ 4 ตัว ลิฟท์ 1 ตัวต่อ 1 ขา เคลื่อนที่ทำมุม 60 องศา หัวใจสำคัญในการเคลื่อนที่อยู่ภายใต้ขาหอคอยภายในสุสานใต้ดินนับร้อยปี -โดยใช้น้ำภายใต้แรงดันเป็นตัวขับลูกสูบไปผลักล้อเลื่อนให้ดึงสายเคเบิลขึ้นไป เทคโนโลยีอายุร้อยปีถูกหล่อลื่นด้วยไขมันแกะและยังทำงานได้อย่างดี และลิฟท์ที่ชั้น 3 จะขนผู้โดยสายขึ้นไปบนยอดหอคอย
ที่บนสุด งานบำรุงรักษาดำเนินงานทุกวัน กลุ่มคนงาน 25 คนจะเดินไปตามนั่งร้านเหล็ก ซึ่งมีระยะเวลาดำเนินงาน 18 เดือน ในการทาสีหอคอย ได้ใช้สีมากกว่า 50 ตัน - งานที่ต้องทำซ้ำๆ ในทุกๆ 7 ปี ไม่เพียงแต่ช่างทาสีที่อยู่บนหอคอยนี้เท่านั้น ช่างไฟฟ้าก็เดินดูตรวจตราหอคอยนี้ด้วยเหมือนกัน เพราะมันจะต้องมีแผงทำความร้อนเพื่อควบคุมอุณหภูมิน้ำในท่อไม่ให้แข็งเพื่อป้องกันไม่ให้ท่อแตกเมื่ออุณหภูมิต่ำว่า -40 องศาฟาเรนไฮด์ และต้องดูแลหลอดไฟ 360 หลอด ซึ่งได้รับการตรวจสอบ และทำการเปลี่ยนเป็น-ประจำ เพื่อความสวยงามของหอคอย สีทีทาบนหอไอเฟล จะมีโทนสีเหลือง และการที่ถูกส่องด้วยไฟสีเหลือง ก็จะช่วยให้หอไอเฟล ถูกขับออกมาให้เด่นชัดมากขึ้น การให้แสงสว่างก็เพื่อให้หอไอเฟลเป็นดาวเด่นแห่งกรุงปารีส
ท้องฟ้าสีกุหลาบยามเย็น กัดสีผนังลายหินอ่อนของสถาปัตยกรรมในปารีส หอไอเฟลก็ยังคงตั้งอยู่ในฐานะของความมหัศจรรย์ทางเทคโนโลยี ความสำเร็จทางวิศวกรรมและสถาปัตยกรรม เป็นสัญลักษณ์แห่งกรุงปารีส และ เป็นยังคงเป็นจิตวิญญาณของฝรั่งเศสเรื่อยไป